แนะนำสถานศึกษา Yale University ที่มีชื่อเสียงอันดับโลก

มหาวิทยาลัยเยล เป็นมหาวิทยาลัยเอกชนใน New Haven, Connecticut หนึ่งในโรงเรียน Ivy League (กลุ่มมหาวิทยาลัยชื่อดังทางตอนเหนือของสหรัฐ) ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ. 1701 และเป็นมหาวิทยาลัยที่เก่าแก่ที่สุดอันดับ 3 ของสหรัฐอเมริกา โดยมีที่มาของชื่อจากพ่อค้าชาวอังกฤษผู้ร่ำรวยคนหนึ่งที่เป็นผู้มีบุญคุณแก่มหาวิทยาลัยเป็นอย่างมาก Elihu Yale ผู้ซึ่งได้บริจาคเงินจำนวนหนึ่งให้กับโรงเรียนจนได้เติบโตจนถึงทุกวันนี้ หลักสูตรแรกของ Yale เน้นการศึกษาแบบคลาสสิกและยึดมั่นอย่างเข้มงวดกับความเชื่อทางศาสนาของตน

โรงเรียนแพทย์ของเยลถูกจัดขึ้นในปี ค.ศ. 1810 ต่อมาก็ได้สร้าง วิทยาลัยศาสนศาสตร์ภาคเทววิทยาในปี ค.ศ. 1822 และสาขากฎหมายก็ได้เพิ่มเข้ามาในสังกัดของมหาวิทยาลัยใน ปี ค.ศ. 1824 นักธรณีวิทยา Benjamin Silliman เป็นบุคคลที่มีควาสามารถและได้เข้ามาเป็นครูสอนที่เยลระหว่าง 1802 และ 1853 ได้ทำผลงานไว้มากมายไม่ว่าจะเป็นในด้านการทดลอง จนได้เปิดสาขาวิทยาศาสตร์ประยุกต์เป็นสาขาวิชาน่านับได้รับความสนใจ และการยอมรับในการศึกษาในสหรัฐอเมริกาเป็นอย่างมาก

นอกจากนี้ Benjamin ยังได้สร้างสำนักวารสาร American Journal of Science and Arts (ต่อมาได้เปลี่ยนให้สั้นลงเหลือแค่ American Journal of Science) ซึ่งเป็นหนึ่งในวารสารทางวิทยาศาสตร์ที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของโลกในศตวรรษที่ 19 ต่อมาในปี ค.ศ.1850 Yale’s Sheffield Scientific ได้ถูกก่อตั้งขึ้น เป็นหนึ่งในศูนย์การเรียนวิทยาศาสตร์และวิศวกรรมชั้นนำจนถึงปี ค.ศ.1956 เมื่อถูกรวมเข้ากับมหาวิทยาลัยเยลจนได้ลดบทบาทสำคัญลงไป และไม่มีใครพูดถึงอีก

มหาวิทยาลัยแห่งนี้ได้มีห้องสมุดที่มีหนังสือมากกว่า 15 ล้านเล่มเป็นหนึ่งในห้องสมุดที่ใหญ่ที่สุดในสหรัฐอเมริกา โดยเป็นมหาลัยที่มีห้องแกลเลอรี่ของตัวเองแห่งแรกของสหรัญ หลังจากได้ก่อตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1832 โดย John Trumbull ได้บริจาคของล่ามากมหายให้แก่มหาวิทยาลัย โดยเฉพาะภาพวาดการปฏิวัติอเมริกาที่เป็นเรื่องราวประวัติศาสตร์อันมีค่าของประเทศ  ถือเป็นสร้างบุคคลที่ทรงคุณค่าต่อประเทศมาหลายรุ่น โดยเฉพาะประธานาธิปดีหลายคนที่ได้จบมาจากมหาลัยเยล อย่างเช่น William Howard Taft และ George W. Bush ผู้นำยุคสงครามกลางเมือง John C. Calhoun นักศาสนศาสตร์ผู้ได้รับการนับถือ Jonathan

ในปัจจุบันนี้มีคนสนใจเรียนในมหาวิทยาลัยเยลเป็นอย่างมาก แต่ก็ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถเข้าเรียนได้ตามที่หวัง เรื่องแรกเป็นส่วนของค่าใช้จ่ายในการเล่าเรียนสูงถึง 60,000 ดอลลาร์สหรัฐ (1.9 ล้านบาท) และค่าห้องอีก 9,000 ดอลลาร์สหรัฐ (2.97 แสนบาท) ซึ่งต้องเป็นคนที่มีฐานะการเงินมั่นคงถึงจะส่งลูกหลานไปเรียนได้ แต่เมื่อจบออกมาแล้วจะไปทำงานที่ไหนก็มีแต่คนยอมรับ เพราะถือว่าได้รับการศึกษาจากมหาลัยอันดับต้น ๆ ของสหรัฐอเมริกา